ใบงาน2.2
ใบงานที่ 2.2.1
เรื่อง ปัญญาประดิษฐ์คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
1.) ปัญญาประดิษฐ์ เรียกอีกอย่างว่า
Artificial Intelligence[1] โดยภาษาไทยใช้คำว่า ปัญญาประดิษฐ์[2] หมายถึง ระบบประมวลผลของคอมพิวเตอร์ หุ่นยนต์ เครื่องจักร หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ที่มีการวิเคราะห์เชิงลึกคล้ายความฉลาดของมนุษย์ และสามารถก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นการกระทำได้
2.) บิดาแห่งปัญญาประดิษฐ์ คือสร้างขึ้นมาครั้งแรกในช่วงปี ค.ศ. 1956 (พ.ศ. 2499) โดย John McCarthy นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวอเมริกัน ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่ง “ปัญญาประดิษฐ์” ซึ่งเขาได้ต่อยอดแนวคิดของ Alan Turing ที่จุดประเด็นเรื่องความคิดแบบมนุษย์ ในเครื่องจักร จนสามารถสร้าง AI ตัวแรกขึ้นมาได้สําเร็จ
3.) นิยามของปัญญาประดิษฐ์ ที่ จอห์น แม็กคาร์ที ได้นิยามไว้คือนิยายของปัญญาประดิษฐ์ใน ค.ศ.1956 จอห์น แม็กคาร์ที ได้ให้คำนิยามของปัญญาประดิษฐ์ว่า " เป็นศาสตร์ทางด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ในการความฉลาดให้กับเครื่องจักร ประเภทของปัญญาประดิษ Artificial General lntelligence ( AGI )
4.) ประเภทของปัญญาประดิษฐ์ 3 ระดับ มีอะไรบ้าง จงอธิบายดูเครื่องจักร(machine) ที่มีฟังก์ชันทีมีความสามารถในการทำความเข้าใจ เรียนรู้องค์ความรู้ต่างๆ อาทิเช่น การรับรู้ การเรียนรู้ การให้เหตุผล และการแก้ปัญหาต่างๆ เครื่องจักรที่มีความสามารถเหล่านี้ก็ถือว่าเป็น ปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence) นั่นเอง
เพราะฉะนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่า AI ถือกำเนิดขึ้นเมื่อเครื่องจักรมีความสามารถที่จะเรียนรู้นั่นเอง ซึ่ง AI ก็ถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับตามความสามารถหรือความฉลาด โดยจะวัดจากความสามารถในการ ให้เหตุผล การพูด และทัศนคติของ AI ตัวนั้นๆ เมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์อย่างเราๆ
AI ถูกจำแนกเป็น 3 ระดับตามความสามารถหรือความฉลาดดังนี้
1 ) ปัญญาประดิษฐ์เชิงแคบ (Narrow AI ) หรือ ปัญญาประดิษฐ์แบบอ่อน (Weak AI) : คือ AI ที่มีความสามารถเฉพาะทางได้ดีกว่ามนุษย์(เป็นที่มาของคำว่า Narrow(แคบ) ก็คือ AI ที่เก่งในเรื่องเเคบๆหรือเรื่องเฉพาะทางนั่นเอง) อาทิ เช่น AI ที่ช่วยในการผ่าตัด(AI-assisted robotic surgery) ที่อาจจะเชี่ยวชาญเรื่องการผ่าตัดกว่าคุณหมอยุคปัจจุบัน แต่แน่นอนว่า AIตัวนี้ไม่สามารถที่จะทำอาหาร ร้องเพลง หรือทำสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากการผ่าตัดได้นั่นเอง ซึ่งผลงานวิจัยด้าน AI ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ที่ระดับนี้
2 ) ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (General AI ) : คือ AI ที่มีความสามารถระดับเดียวกับมนุษย์ สามารถทำทุกๆอย่างที่มนุษย์ทำได้และได้ประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับมนุษย์
3) ปัญญาประดิษฐ์แบบเข้ม (Strong AI ) : คือ AI ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ในหลายๆด้าน
5.) จงยกตัวอย่างการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในด้านต่างๆ มา 5 ด้าน พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
BLOG
KNOWLEDGE
5 ประโยชน์ของระบบ AI กับการประยุกต์ใช้ในธุรกิจ
MARCH 19, 2021
ในปัจจุบันระบบ AI เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการทำธุรกิจ และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยจากการคาดการณ์พบว่า ในปี ค.ศ. 2027 มูลค่าตลาด AI จะเพิ่มขึ้นถึง 267 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 8 แสนล้านบาท โดยในบทความนี้ KATALYST จะพาคุณลงลึกเรื่อง AI ว่ามีประโยชน์อย่างไรในการทำธุรกิจ
ทำความเข้าใจ AI เบื้องต้น
AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ คือ เทคโนโลยีด้านระบบการประมวลผลที่มีความสามารถในการจัดการข้อมูล ทั้งเรียนรู้ชุดคำสั่งและนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นของ AI ทำให้สามารถนำมาต่อยอดและพัฒนาธุรกิจ ทั้งในด้านการบริหารจัดการและการตลาดได้
สำหรับรูปแบบการทำงานของ AI มีการเชื่อมโยงองค์ประกอบซ้อนกันหลายอย่างทั้ง Machine Learning และ Deep Learning โดยแต่ละองค์ประกอบมีรายละเอียดดังนี้
- Machine Learning คือ การทำให้ระบบคอมพิวเตอร์เรียนรู้ด้วยตัวเอง โดยใช้ข้อมูลเป็นสื่อการเรียนรู้ ซึ่งจะเน้นไปที่การจดจำลักษณะเด่นเพื่อจำแนกความแตกต่างของข้อมูลเป็นหลัก
- Deep Learning คือ การเรียนรู้ของระบบคอมพิวเตอร์ผ่านการจำลองรูปแบบการประมวลผลของสมองมนุษย์ โดยใช้โครงข่ายคล้ายกับเซลล์ประสาทในการกรองข้อมูลเชิงลึก ซึ่งสามารถคาดการณ์และตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้อีกด้วย
โดยองค์ประกอบของ AI ยังสามารถแบ่งออกได้หลายประเภทตามรูปแบบของกระบวนการนำ AI มาใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น
- Natural Language Processing: NLP คือ การทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและประมวลผลภาษามนุษย์ ทั้งรูปแบบตัวอักษรและเสียงพูด โดยตัวอย่างการใช้ NLP ในธุรกิจ เช่น Siri ของ Apple หรือ Alexa ของ Amazon เป็นต้น
- Computer Vision คือ การทำให้คอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวเพื่อจำแนกความแตกต่าง อย่างตำแหน่งที่ตั้งหรือลักษณะของวัตถุในภาพ โดยตัวอย่างธุรกิจที่นำ Computer Vision มาปรับใช้ เช่น Waymo ที่สร้างรถบรรทุกอัจฉริยะไร้คนขับเพื่อขนส่งสินค้าของบริษัท Google เป็นต้น
- Robotics คือ การออกแบบและพัฒนาเครื่องกลหรือหุ่นยนต์ให้สามารถตอบโจทย์การทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างการใช้ Robotics ในธุรกิจ เช่น หุ่นยนต์ในสายการผลิตอุตสาหกรรม และ Drone สำหรับขนส่งสินค้า เป็นต้น
- Expert System คือ การสร้างความชำนาญเฉพาะทางให้กับระบบคอมพิวเตอร์ โดยป้อนข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญให้กับระบบ เพื่อให้ AI สามารถทำงานแทนผู้เชี่ยวชาญได้ เช่น ระบบซื้อขายหุ้น หรือ ระบบวินิจฉัยโรค เป็นต้น
5 ประโยชน์ของ AI กับการใช้งานในทางธุรกิจ
1. AI ช่วยให้การทำ Personalized Marketing แม่นยำมากขึ้น
การทำ Personalized Marketing คือ การทำการตลาดที่ออกแบบเฉพาะบุคคล จากประสบการณ์ของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และด้วยคุณสมบัติของ AI ในการประมวลผลและคาดการณ์ข้อมูล ทำให้การทำการตลาดแบบ Personalized Marketing นั้นแม่นยำมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างการใช้ AI ในการทำ Personalized Marketing จะเห็นได้จาก Starbucks โดย Startbucks นั้นเริ่มใช้ AI เพื่อเสนอส่วนลดให้กับสมาชิกผ่าน E-mail โดยสินค้าที่มีส่วนลดจะเป็นเมนูที่ใกล้เคียงกับเมนูที่ลูกค้าสั่งประจำ แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มความชอบของลูกค้า ซึ่งการส่งส่วนลดในเมนูที่ลูกค้าชอบ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าที่ Starbucks
2. สำรวจพฤติกรรมลูกค้าผ่านระบบ Facial Recognition
Facial Recognition เป็นหนึ่งในประโยชน์ของ AI โดยระบบดังกล่าวคือ ความสามารถในด้าน Computer Vision ซึ่งสามารถจดจำใบหน้าของมนุษย์ หรือจำแนกและสำรวจตำแหน่งของสิ่งของภายในพื้นที่ได้ โดยการนำ Facial Recognition มาปรับใช้ในธุรกิจ ช่วยให้การสำรวจพฤติกรรมของลูกค้านั้นแม่นยำมากขึ้น จะเห็นได้จากกรณีศึกษาของ Walmart ที่เปลี่ยนร้านค้าธรรมดา ให้เป็นร้านค้าแห่งอนาคตด้วย AI
Walmart นำ AI เข้ามาใช้ในการจัดการร้านค้า โดยเฉพาะระบบ Facial Recognition ซึ่งระบบดังกล่าวทำงานโดยการจดจำใบหน้าลูกค้า จากนั้นจึงติดตามพฤติกรรมของลูกค้าภายในร้าน เช่น เมื่อลูกค้าหยิบขนมปังออกจากชั้นวางจนหมด ระบบจะแจ้งเตือนพนักงานให้มาเติมขนมปังบนชั้นวาง ซึ่งช่วยลดการเสียโอกาสในการขายสินค้า ในกรณีที่สินค้าหมด เป็นต้น
3. Robotics อนาคตแห่งการขนส่งสินค้า
การใช้งาน Robotics หรือหุ่นยนต์ในธุรกิจนั้นมีมานานแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคการผลิตเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันการใช้งานหุ่นยนต์มีการพัฒนามากยิ่งขึ้น ผ่านการป้อนคำสั่งในส่วนของ Machine Learning โดยเฉพาะในด้านขนส่งสินค้า (Delivery Robot) ซึ่งมีหลายแบรนด์เริ่มต้นใช้งานจริงแล้วอย่าง JD.Com
โดยในกรณีของ JD.Com สิ่งที่น่าสนใจคือ พวกเขาเป็นธุรกิจ E-Commerce เจ้าใหญ่ในประเทศจีน ซึ่งการขนส่งสินค้าบางครั้งเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากภูมิประเทศที่ไม่อำนวย ทำให้ต้องใช้ระยะเวลาในการขนส่งที่นานขึ้น ดังนั้นการใช้โดรนขนส่งสินค้าจึงเป็นทางออกของปัญหาดังกล่าว ซึ่งช่วยลดระยะเวลาจากเดิม 2 ชั่วโมงให้เหลือเพียงแค่ 20 นาที เท่านั้น
4. AI ตัวช่วยจัดการปัญหาคลังสินค้า
ในบางธุรกิจที่มีสินค้าในคลังจำนวนมาก อาจจะไม่รู้ว่าสินค้าไหนมีประสิทธิภาพ หรือสินค้าไหนที่ไม่เกิดประโยชน์ ดังนั้น AI จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดการปัญหาคลังสินค้า ด้วยระบบการวิเคราะห์ข้อมูล คลังสินค้า ซึ่งทาง H&M ได้นำ AI มาแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1 หมื่น 2 พันล้านบาท
H&M ประสบปัญหาด้านคลังสินค้า เนื่องจากพวกเขามักมีสินค้าที่ขายไม่ออกจนทำให้ต้องนำสินค้ามาลดราคาเพื่อระบายสินค้าออก ซึ่งจากการใช้ AI วิเคราะห์จึงพบว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สินค้าขายไม่ออก คือ พวกเขามีกลยุทธ์ในการวางสินค้าที่คล้ายคลึงกัน 4,288 สาขาทั่วโลก
หลังจากทราบปัญหาดังกล่าว H&M จึงใช้ระบบ AI ในการทำ Localization ผ่านการ วิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละสาขา เพื่อจัดวางสินค้าให้ตรงตามความต้องลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น ร้าน H&M สาขา Stockholm พบว่าลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง และสินค้าที่ราคาแพงมักขายได้มากกว่าสินค้าราคาถูก ซึ่งการพบ Insignt ของลูกค้าจะช่วยลดปัญหาสินค้าไม่ตอบโจทย์ลูกค้าในที่สุด
5. AI กับการพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ลูกค้า
การวิจัยและพัฒนาสินค้า (Research and Development) เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน โดย AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลจากงานวิจัย เพื่อนำไปพัฒนาให้แม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยหนึ่งในตัวอย่างการพัฒนาสินค้าด้วย AI ที่น่าสนใจมาจากแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Coca Cola
Coca Cola ใช้ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า และนำข้อมูลมาพัฒนาต่อยอดเป็นสินค้าในที่สุด โดยหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาจาก AI คือ Cherry Sprite ซึ่งข้อมูลในการผลิตสินค้า ได้มาจากการวิเคราะห์พฤติกรรมของวัยรุ่นในการกดน้ำดื่ม ซึ่งลูกค้ามักจะผสมรสชาติน้ำดื่มเอง โดย AI ได้นำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์และคาดการณ์ส่วนผสม จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ Cherry Sprite ในที่สุด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น